ทีนี้เรามาดูกันว่าแพทย์มีวิธีการวินิจจัยและจ่ายยาต้านไวรัสให้คนไข้ โดยดูจากปริมาณเม็ดเลือดขาวหรือ cd4 เช่นไร
การลดลงอย่างมากของเซลล์เม็ดเลือดขาวจะเป็นเครื่องแสดงของอาการที่จะเกิดขึ้นก่อน 1 ปี ก่อนที่จะวินิจฉัยว่าผู้ป่วยเป็นโรคเอดส์อย่างสมบูรณ์แบบ การดูแลร่างกายที่ดีจึงควรเข้ารับการตรวจสอบวัดระดับเซลล์เม็ดเลือดขาว (cd4) อย่างบ่อยๆ เพราะว่าระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวมีความสลักสำคัญอย่างมากที่จะใช้เป็นแนวทางในการเยียวยารักษา หรือการให้ยาต้านไวรัสแก่ผู้เจ็บป่วยเพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนบางจำพวก เช่น ระดับ T-cells น้อยกว่า 200 แพทย์จะให้การดูแลคุ้มกันโรคปอดอักเสบ เป็นต้น
สมัยปัจจุบันเราใช้ผลรวมเซลล์
cd4-T lymphocyte และปริมาณเชื้อ viral load หรือ HIV RNA มาเป็นตัวบอกระยะและพยากรณ์ของโรค เช่น ผู้ที่มีผลรวมเซลล์เม็ดเลือดขาวT lymphocyte มากกว่า 500 cells/mm3 จะมีโอกาสเสี่ยงต่ำในการเกิดโรคเอดส์และโรคภัยไข้เจ็บแทรกซ้อนอื่นใน 3 ปี การเจาะตรวจ T-cells ควรจะเจาะทุก 3-6 เดือนขึ้นกับสภาพของผู้เจ็บป่วย ผู้ที่เจาะได้เซลล์จำนวนน้อยก็ต้องเจาะถี่ขึ้น ส่วนผู้ที่มีเซลล์มากก็เจาะทุก 6 เดือนcd4
ผู้ที่ติดเชื้อที่ระดับเซลล์เม็ดเลือดขาวลดลงอย่างปุบปับในช่วงติดเชื้อใหม่และไม่สามารถเยียวยารักษาระดับเซลล์เม็ดเลือดขาวให้อยู่ตัวได้ มีแนวโน้มที่จะมีอาการของโรคเอดส์เร็วกว่าปกติครับผม เมื่อใดที่การตรวจสอบวัดระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวอยู่ที่ 200-500 นั่นเสนอว่าระดับภูมิต้านทานของร่างกายได้ถูกทำร้ายแล้ว
ซึ่งเซลล์เม็ดเลือดขาวเองก็เป็นพารามิเตอร์หลักที่แพทย์ใช้ในการวินิจฉัยโรคในช่วงต้น
ฉะนั้นค่าที่เป็น Absolute cd4 จึงเป็นค่าที่นำไปเป็นหลักเกณฑ์การรับยาต้านไวรัส ถ้าค่า cd4 ต่ำกว่า 200 ลงมา ก็ไปพบแพทย์เพื่อขอทานยาต้านไวรัสได้เลย แต่ถ้ายังสูงมากกว่า 200 ก็อย่าเพิ่งทานยาต้าน ให้รักษาพยาบาลตามอาการเเทรกซ้อนด้วยยาเฉพาะโรคอื่นๆ ไปก่อนขอรับ ซึ่งยาต้านไวรัสเอดส์หรือบางท่านเรียกสั้นๆ ว่า
ยาต้าน
ศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่า
เออาร์วี
(ARV) ย่อมาจาก antiretroviral
ค่าปรกติเม็ดเลือดขาวหรือ WBC คือ ประมาณ 5000-10000 cells/cu.mm.ส่วนค่า % Lymp จะไม่เหมือนกัน บางคนสูง บางท่านต่ำ ค่าปกติของ % Lymp อยู่ในช่วงราว 19-48% โดยเหตุนั้นจึงต้องดูค่าทั้ง 3 อย่างเเละนำไปใส่สมการสูตรคำนวณออกมา
ถึงแม้ว่าถ้าคุณไม่มีเชื้อ เอชไอวี แต่ก็ยังมีหลายเหตุที่มีผลต่อปริมาณ T-cells เช่น T-cells ของเพศหญิงจะขึ้นและลงในช่วงที่มีระดู ยาคุมชนิดเม็ดจะทำให้ปริมาณ T-cells ลดน้อยลงได้ หรือในบางขณะที่ร่างกายพัก T-cells จะลดระดับลงและลดลงได้มากถึง 40% เป็นต้น
เซลล์ตัวนี้มีความสำคัญตรงที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนตัวคุมระบบภูมิต้านทานทั้งหมด พอเซลล์นี้ถูกทำลายไประบบภูมิคุ้มกันก็ทำงานเพี้ยน ทำให้ไม่สามารถป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคต่างๆ ได้ เมื่อร่างกายติดเชื้อไวรัสเหล่านี้เข้าพร้อมกันๆ กันก็จะเกิดเป็นโรคเอดส์สุดท้าย การสำรวจหาจำนวนของ T-cells จึงเป็นตัวช่วยบ่งชี้ว่าระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายยังทำงานดีอยู่หรือเปล่า และเชื้อเอชไอวีทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแย่ไปจนถึงเวลาที่ต้องรับยาต้านไวรัสหรือยัง
ในปัจจุบันมียาต้านไวรัสเอดส์ส่วนใหญ่ ออกฤทธิ์ขวางการขยายพันธุ์ทำให้เชื้อไวรัสเอดส์เบาลงได้ และช่วยปกป้องไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าไปทำร้ายเซลล์เม็ดเลือดขาวประเภท T-cell
ปกติร่างกายจะผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวไม่กี่ล้านเซลล์ แต่เจ้าไวรัสเอชไอวี อาจจะแบ่งตัวได้มากถึงวันละหมื่นล้านตัว นับว่าเป็นจำนวนที่เหลื่อมล้ำกันอย่างชัดเจนจนน่าตื่นเต้นตกใจเลยใช่มั้ยครับ
แต่ถ้าเล่าถึงชื่อย่อ cd4 อาจจะไม่รู้ว่าคืออะไร ขอเล่าง่ายๆ ขอรับว่า cd4 เป็นครั้งคราวถูกเรียกว่า T-cells หรือ T-helper cells เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งจัดระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส ซึ่งเจ้าเซล์เม็ดเลือดชนิดนี้มีความสำคัญต่อการวินิจฉัยการติดโรคเอชไอวี อีกด้วยเพราะเป็นเซลล์ที่เชี้อเอชไอวีเข้าไปจู่โจมทำลาย

โดยระดับปกติธรรมดาของ T-cells ในคนที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี จะอยู่ระหว่าง 400 1600 ต่อเลือด 1 ลบ.มม. และ T-cells ของผู้หญิงที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี นั้นจะมีความโอนเอียงที่สูงกว่านิดหน่อย คือ 500 1600.
ในช่วงปัจจุบันวิวัฒนาการทางการแพทย์ล้ำสมัยก้าวหน้าไปมาก ทำให้การวินิจฉัยความเจ็บป่วยต่างๆ สามารถทำได้อย่างทันทีทันใด และช่วยลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตหรือเป็นอัมพาตของผู้ป่วยได้เยอะแยะ
ยาต้านไวรัสเอดส์เป็นส่วนใหญ่ใช้ได้ผลดี แต่ก็ยังอาจพบอุปสรรคของการใช้ยาบางอย่าง ได้แก่ อุปสรรคจากผลข้างเคียงของยา ปัญหาการต้านทาน