ซึ่งเซลล์เม็ดเลือดขาวเองก็เป็นพารามิเตอร์ต้นฉบับที่แพทย์ใช้ในการวินิจฉัยโรคในระดับต้น
แม้ว่าว่าถ้าคุณไม่มีเชื้อ เอชไอวี แต่ก็ยังมีหลายเหตุที่มีผลต่อปริมาณ T-cells เช่น T-cells ของหญิงจะขึ้นและลงในช่วงที่มีประจำเดือน ยาคุมชนิดเม็ดจะทำให้ปริมาณ T-cells ลดน้อยลงได้ หรือในบางขณะที่ร่างกายผ่อนคลาย T-cells จะลดระดับลงและลดลงได้มากถึง 40% เป็นต้น
ในล่าสุดมียาต้านไวรัสเอดส์ส่วนใหญ่ ออกฤทธิ์สกัดการเพาะพันธุ์ทำให้เชื้อไวรัสเอดส์ลดลงได้ และช่วยปกป้องรักษาไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าไปทำร้ายเซลล์เม็ดเลือดขาวประเภท T-cell
ปัจจุบันนี้เราใช้ปริมาณเซลล์
cd4-T lymphocyte และปริมาณเชื้อ viral load หรือ HIV RNA มาเป็นตัวบอกระยะและพยากรณ์ของโรค อาทิเช่น ผู้ที่มีจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวT lymphocyte มากกว่า 500 cells/mm3 จะมีโอกาสเสี่ยงต่ำในการเกิดโรคเอดส์และโรคภัยแทรกซ้อนอื่นใน 3 ปี การเจาะตรวจ T-cells ควรจะเจาะทุก 3-6 เดือนขึ้นกับสภาพของผู้เจ็บป่วย ผู้ที่เจาะได้เซลล์จำนวนรวมน้อยก็ต้องเจาะถี่ขึ้น ส่วนผู้ที่มีเซลล์มากก็เจาะทุก 6 เดือนcd4
เซลล์ตัวนี้มีความสำคัญตรงที่ทำภาระหน้าที่เป็นเหมือนตัวคุมระบบภูมิต้านทานทั้งมวล พอเซลล์นี้ถูกทำลายไประบบภูมิคุ้มกันก็ทำงานผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถดูแลร่างกายจากเชื้อโรคต่างๆ ได้ เมื่อร่างกายติดเชื้อโรคเหล่านี้เข้าพร้อมกันๆ กันก็จะเกิดเป็นโรคเอดส์สุดท้าย การตรวจสอบหาจำนวนของ T-cells จึงเป็นตัวช่วยบ่งชี้ว่าระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายยังทำงานดีอยู่ไหม และเชื้อเอชไอวีทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแย่ไปจนถึงเวลาที่ต้องรับยาต้านไวรัสหรือยัง

การลดลงอย่างยิ่งของเซลล์เม็ดเลือดขาวจะเป็นสัญญาณของอาการที่จะเกิดขึ้นก่อน 1 ปี ก่อนที่จะวินิจฉัยว่าผู้ป่วยเป็นโรคเอดส์อย่างสมบูรณ์แบบ การปรนนิบัติร่างกายที่ดีจึงควรเข้ารับการตรวจตราวัดระดับเซลล์เม็ดเลือดขาว (cd4) อย่างสม่ำเสมอ ด้วยเหตุว่าระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวมีความสำคัญอย่างมากที่จะใช้เป็นแนวทางในการป้องกัน หรือการให้ยาต้านไวรัสแก่ผู้ป่วยเพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนบางกลุ่ม เช่น ระดับ T-cells น้อยกว่า 200 แพทย์จะให้การดูแลปกป้องรักษาโรคปอดอักเสบ เป็นอาทิ
ครั้งนี้เรามาดูกันว่าผู้รักษามีวิธีการวินิจจัยและจ่ายยาต้านไวรัสให้คนป่วย โดยพิจารณาจากปริมาณเม็ดเลือดขาวหรือ cd4 ไง
ธรรมดาร่างกายจะผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวไม่กี่ล้านเซลล์ แต่เจ้าไวรัสเอชไอวี อาจจะแบ่งตัวได้มากถึงวันละหมื่นล้านตัว นับว่าเป็นเลขที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนจนน่าตระหนกตกใจเลยใช่มั้ยครับผม
ยาต้านไวรัสเอดส์จำนวนมากใช้ได้ผลดี แต่ก็ยังอาจพบปัญหาของการใช้ยาบางชนิด ได้แก่ อุปสรรคจากผลข้างเคียงของยา ปัญหาการต้านทานฤทธิ์ยาทั้งในร
ในสมัยปัจจุบันวิวัฒนาการทางการแพทย์ล้ำสมัยก้าวหน้าไปมาก ทำให้การวินิจฉัยโรคภัยต่างๆ สามารถทำได้อย่างไว และช่วยลดการเสี่ยงในการเสียชีวิตหรือพิการของผู้ป่วยได้มากมาย
ผู้ที่ติดเชื้อที่ระดับเซลล์เม็ดเลือดขาวลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงติดเชื้อใหม่และไม่สามารถรักษาระดับเซลล์เม็ดเลือดขาวให้อยู่ตัวได้ มีความเอนเอียงที่จะมีอาการของโรคเอดส์เร็วกว่าปกติครับ เมื่อใดที่การตรวจสอบวัดระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวอยู่ที่ 200-500 นั่นกล่าวถึงว่าระดับภูมิต้านทานของร่างกายได้ถูกทำร้ายแล้ว
ค่าปกติธรรมดาเม็ดเลือดขาวหรือ WBC คือ ประมาณ 5000-10000 cells/cu.mm.ส่วนค่า % Lymp จะไม่เหมือนกัน บางคนสูง บางคนต่ำ ค่าเป็นปกติของ % Lymp อยู่ในช่วงใกล้เคียง 19-48% ฉะนั้นจึงต้องดูค่าทั้ง 3 อย่างเเละนำไปใส่สมการสูตรคำนวณออกมา
โดยระดับธรรมดาของ T-cells ในคนที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี จะอยู่ระหว่าง 400 1600 ต่อเลือด 1 ลบ.มม. และ T-cells ของหญิงที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี นั้นจะมีความโน้มเอียงที่สูงกว่าเล็กน้อย คือ 500 1600.
ดังนั้นค่าที่เป็น Absolute cd4 จึงเป็นค่าที่นำไปเป็นกฏเกณฑ์การรับยาต้านไวรัส ถ้าค่า cd4 ต่ำกว่า 200 ลงมา ก็ไปพบคุณหมอเพื่อขอรับประทานยาต้านไวรัสได้เลย แต่ถ้ายังสูงมากกว่า 200 ก็อย่าเพิ่งบริโภคยาต้าน ให้รักษาตามอาการเเทรกซ้อนด้วยยาเฉพาะโรคอื่นๆ ไปก่อนครับผม ซึ่งยาต้านไวรัสเอดส์หรือบางคนเรียกสั้นๆ ว่า
ยาต้าน
ศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่า
เออาร์วี
(ARV) ย่อมาจาก antiretroviral
แต่ถ้าเล่าถึงชื่อย่อ cd4 อาจจะไม่รู้ว่าคืออะไร ขอขยายความง่ายๆ ครับผมว่า cd4 บางครั้งถูกเรียกว่า T-cells หรือ T-helper cells เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งจัดระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส ซึ่งเจ้าเซล์เม็ดเลือดชนิดนี้มีจุดสำคัญต่อการวินิจฉัยการติดโรคเอชไอวี ด้วยเพราะเป็นเซลล์ที่เชี้อเอชไอวีเข้าไปโจมตีทำลาย