ช่วยข้อจำกัดของการบำบัดทางเคมี/ฉายแสง ได้อย่างไร
ถั่งเช่าแบคทีเรียส่วนมาก และไวรัสทุกชนิด รวมทั้งไวรัสเอดส์ (HIV) ก็ไม่สามารถซ่อมแซมดีเอ็นเอ ได้เช่นเดียวกับเซลล์มะเร็ง ดังนั้นความสามารถในการต้านการเจริญเติบโตของแบคทีเรียบางชนิด และไวรัส โดยคอร์ไดซิพิน ก็มีกลไกการออกฤทธิ์เช่นเดียวกับที่เกิดกับเซลล์มะเร็งนั่นเอง (Holliday 2004b) (Liu and Zheng, 1993)
ในความเป็นจริงแล้ว ความรู้ที่ว่าถั่งเช่า มีความสามารถในการต้านทานโรคมะเร็งนั้นเป็นที่รู้กันในประเทศทางตะวันออก เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี และจีน เพราะมีการทดสอบ กันอย่างแพร่หลายเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันอันเป็นทางเลือกในการรักษา เพราะมีสาร โพลีแซคคาไรด์ ภูมิคุ้มกันที่สร้างขึ้นนี้ สามารถลดความรุนแรง กับ ลดเวลาที่เกิดผลข้างเคียงอันเกิดจากการรักษาทางเคมีหรือฉายรังสี (Wang et al 2001) (Xu et al 1988)
กลไกการทำงานของสสารโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharides)
การป้องกันผลกระทบ จากการบำบัดทางเคมีหรือฉายรังสี
กลไกการออกฤทธิ์ของสสารคอร์ไดซิพิน (Cordycepin)
เป็นที่เข้าใจกันว่าในเห็ดหลายชนิดมีส่วนประกอบของสารแซคคาไรด์เดี่ยวๆ และแซคคาไรด์ที่รวมตัวต่อกันเป็นสายโซ่ยาวที่ตำแหน่ง 1,3 และ 1,6 เช่น เบต้า ดี กลูแคน (beta-d-glucans) ได้มีการทดลองทางการแพทย์ในประเทศจีน และ ญี่ปุ่น ในโรงพยาบาลหลายแห่งพบ ว่าการให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งปอดทานถั่งเช่า 6 กรัม/วัน ควบคู่กับการทำ คีโม ผลปรากฏว่าขนาดของโรคมะเร็งลดลง 46% ในคนไข้ 50 คนที่ทดลอง (Wang et al 2001) การทดลองให้คนไข้ที่เป็นเนื้องอกชนิดอื่นๆ กินถั่งเช่า 6 ก./วัน เป็นช่วง 2 เดือน ทำให้คนไข้ส่วนใหญ่มีอาการดีขึ้น เมื่อเช็คเม็ดเลือดขาวพบว่าคนไข้มีเม็ดเลือดขาวสูงขึ้น และขนาดของเนื้องอกลดลงประมาณกึ่งหนึ่งของคนไข้ที่ทดลอง (Zhou et al 1998)
[youtube]youtube.com/watch?v=MVWeGItCZYo[/youtube]
คุณสมบัติที่เด่นของถั่งเช่าซึ่งเป็นที่ทราบกันกันมานานแล้วในประเทศจีนก็คือ การเป็นยาปกป้องเนื้อร้าย ซึ่งกำลังเป็นที่น่าตื่นเต้นในวงการแพทย์ทางเลือกในโลกตะวันตกในด้านสมรรถนะในการการเป็นยารักษาเนื้องอกชนิดใหม่ ประกอบไปด้วยสสารโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharides) และ สสารคอร์ไดซิพิน (Cordycepin) ซึ่งสารตัวหลังนี้พบในถั่งเช่าเท่านั้น ในปัจจุบันมีแพทย์จากทั่วโลกที่แนะนำให้คนป่วยทานควบคู่กับการรักษาแผนปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นการใช้เคมีบำบัด (ทำคีโม) หรือการฉายรังสี หรือทางเลือกในการรักษามะเร็งโดยวิธีอื่นๆ จะสามารถชะลอการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งอย่างเห็นได้ชัด ในบางกรณีนอกจากทำให้เนื้องอกหายไปด้วยแล้ว ยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันทำให้ร่างกายของผู้ป่วยแข็งแรงขึ้น สามารถทนต่อผลกระทบจากการทำคีโม หรือฉายรังสีได้ด้วย (Nakamura et al 2003) ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นจากการรับประทานจัดเป็นภูมิคุ้มกันที่สองซึ่งทำให้ร่างกายมนุษย์สามารถ ทราบ จดจำ ขจัด ขวาง จุดที่เป็นมะเร็งทั่วร่างกายได้ (Koh et al 2002)
นอกจากความสามารถในการสร้างภูมิคุ้มกันจากสารโพลีแซคคาไรด์ แล้ว ยังมีการออกฤทธิ์ในการต้านมะเร็งจากสสารคอร์ไดซิพิน (3deoxyadenosine) ซึ่งโมเลกุลของสารนี้เกือบจะเหมือนกับสารอะดีโนซีน (adenosine) ซึ่งเป็นส่วนประกอบของ ดีเอ็นเอ (DNA) แต่ต่างกันที่คอร์ไดซิพินไม่มีอะตอมของออกซิเจนบนตำแหน่งที่ 3 ของน้ำตาลไรโบส การขาดออกซิเจนตรงจุดนี้มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเนื่องจากคอร์ไดซิพิน เข้าแทนที่ อะดีโนซีนในดีเอ็นเอ การขาดออกซิเจนไปหนึ่งตัว จะทำให้การจำลองดีเอ็นเอสะดุด ลง การแยกเซลล์จึงไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ การแยกเซลล์หากเกิดในเซลล์ปกติ เซลล์ปกติของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสามารถที่จะซ่อมแซมปัญหานี้ได้ แต่มิใช่เซลล์มะเร็ง เนื่องจากเซลล์มะเร็งไม่มีประสิทธิภาพในด้านนี้
ผลรับที่เด่นที่สุดของการทำการรักษาเนื้องอกโดยใช้สารเคมีก็คือการทำลายระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยนั้นเอง ในความเป็นจริงแล้วผู้ป่วยมรณะจากการรักษาโดยสารเคมีมากกว่า จากโรคมะเร็ง คนไข้ที่รักษาโดยสารเคมีจะได้รับการตรวจเช็คเม็ดเลือดขาว ในช่วงที่ทำการรักษาโดยใช้สารเคมี ปริมาณสารเคมีที่จะให้คนไข้ พร้อมกับโปรแกรมการให้สารเคมีจะถูกปรับเพื่อให้คนไข้ มีโอกาสที่จะสร้างภูมิคุ้มกันเพียงพอ เพื่อที่จะรับสารเคมีที่เป็นพิษในครั้งถัดไปได้อีก พร้อมกับหวังว่าสารเคมีจะทำลายเซลล์มะเร็งได้เร็วกว่าเซลล์ปกติ โดยปกติเม็ดเลือดขาวจะมีความอ่อนแอต่อสารเคมีที่ใช้รักษาโรคมะเร็งโดยมันจะตายเร็วกว่าเซลล์อื่นๆที่เป็นองค์ประกอบของเนื้อเยื่อที่ยังเป็นปกติอยู่ ซึ่งเป็นที่มาของภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ลดลง เกี่ยวพันเม็ดเลือดขาวเกี่ยวข้องโดยตรงกับการสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย
หากคนไข้มีภูมิคุ้มกันที่ดี จะใช้จำนวนสารเคมีเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งเพิ่มข