เท่ากันยี่ห้อเดียวกันหรือต่างยี่ห้อกันแต่เครื่องหนึ่งเป็น LEDอีกเครื่องหนึ่งเป็น LCD เพื่อนๆต้องทำความเห็นอกเห็นใจก่อนว่า LED กับ LCDตรงกันข้ามอย่างไรLCD ย่อมาจากคำว่า Liquid Crystal Display ซึ่งเป็นจอปรากฏผลแบบ (Digital ) โดยภาพที่บังเกิดขึ้นเกิดจากแสงที่ถูกปล่อยออกมาจากหลอดไฟด้านหลังของจอภาพ (Black Light) ผ่านชั้นกรองแสง (Polarized filter) แล้ววิ่งไปยัง คริสตัลเหลวที่เรียงตัวด้วยกัน 3 เซลล์คือ แสงสีแดง แสงสีเขียวและแสงสีนํ้าเงิน กลายเป็นพิกเซล (Pixel) ที่สว่างสดใสเกิดขึ้น LED ย่อมาจากคำว่า Light Emitting Diode ใช้กบิลการฉายภาพด้วยหลอดไฟขนาดเล็ก ซึ่งได้มีการนำเทคโนโลยีของหลอดไฟ LED ไปใช้กับการทำเป็นไฟท้ายรถของรถยนต์ชื่อดังอย่าง Honda อีกด้วย โดยต้นกำเนิดของการใช้การฉายภาพแบบนี้ก็คือ หลอด LED จะทำหน้าที่เป็นตัวกำเนิดแสง และมีผลึกคริสตัลที่เป็นของแข็งกึ่งเหลว 3 สีคือสีแดง น้ำเงินและเขียว คอยบิดตัวกันเป็นองศาและเพื่อให้แสงไฟจากหลอด LED ส่องผ่านมาเพื่อทำให้ฉายออกไปเป็นภาพสีสันที่สวยงามบนหน้าจอได้นั่นเองทั้งนี้ LED TV ยังมีแยกไปอีก 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ - EDGE LED คือจะวางหลอด LED ไว้เฉพาะขอบจอเท่านั้น บน ล่าง ซ้าย ขวา เพื่อยิงแสงเข้ามายังกลางจอแก้ว ข้อดีคือจอจะมีความบางที่มากกว่า และยิ่งกว่าทีวีจอบางทั่วๆ ไป นอกจากนั้นยังคงคุณวุฒิความประหยัดไฟแน่นอน ข้อด้อยคือสีดำจะดำไม่สนิทเท่าไหร่นัก - Full LED (Direct LED) ซึ่งก็ตรงตามความหมายคือ ในหน้าจอทีวีจะมีหลอด LED วางอยู่เต็มแผงจอเลยทีเดียว ขนาดอาจจะไม่บางเท่าแบบอื่น แต่ความคมชัด และความต่างสีของภาพจะเข้มแข็งกว่าแบบแรกเพราะสามารถทำ Local Dimming หรือการปิดสีแบบเป็นกลุ่มได้ - RGB LED ปัจจุบัน LED ชนิดนี้จัดเป็นตัวท็อปของ LED เลยทีเดียว เพราะใช้หลอด LED แม่สีทั้ง 3 คือ RGB (แยก3หลอดๆ ละสี) มาเรียงๆ กันเป็นกลุ่ม ทำให้การแสดงผลภาพและสีสุวิมลมีมิติมากกว่าทุกแบบที่กล่าวมาและแน่นอนว่าแพงกว่าทุกแบบด้วยเช่นกันเนื่องจากทุนเดิมที่สูงกว่า ทีวี 32 นิ้ว
หรือใหญ่ๆ แจ่มๆ ที่จะอยู่กับเราไปนานๆ ซักเครื่องนึง ก่อนอื่นเลยขอแนะนำให้ทบทวนถึงโลภของตนเองและงบในกระเป๋าของตนก่อน จะเลือกก้าวสู่เทคโนโลยีใหม่ หรือจะประหยัดซักหน่อยด้วยการใช้เทคโนโลยีเก่าอยู่ที่การตัดสินใจครับ แต่อยากให้ทุกคนได้ลองพิจารณาข้อเปรียบต่อไปนี้ก่อน คือ 1. อัตราการชดเชยของภาพ จะมีผลชัดเจนมากตอนที่เราดูภาพที่มีการกระดุกกระดิกเร็วๆ เช่นภาพกีฬามันๆ หนังแอ็คชั่นบู้สะบั้นหั่นแหลก บนหน้าจอทีวีถึงจะเป็นจอเล็กๆอย่าง ทีวี 32 นิ้ว
ที่เป็น LEDในปัจจุบัน ราคาก็ไม่แพงแล้วด้วย 2. มุมมองของภาพ ปัญหาหลักของจอทีวีไม่ว่าจะเป็นจอขนาดเล็ก17 นิ้ว 25นิ้ว หรือ จอ ทีวี 32 นิ้ว
กินไฟ 65-70 W/ชม.เราจะเห ทีวี 32 นิ้ว
ก็ตาม LCD ที่มีอัตราการตอบสนองต่ำนั้นภาพจะเบลอๆ ภาพซ้อนๆ กันบ้าง แต่ปัญหานี้จะไม่พบเลยในทีวี ขนาดจอเท่ากันหรือใหญ่กว่าที่เป็นจอ LED เพราะอัตราการตอบสนองของ LED หรือ Response Time สูงกว่ามากราวๆ 1 ms โดยเฉลี่ย ในขณะที่ LCD จะทำได้มากที่สุดเพียง 2 ms (ตัวเลขยิ่งน้อยยิ่งดีในส่วนนี้) ดังนั้นหากใครรู้ตัวว่าชอบดูหนังแอ๊คชั่นสุดมันส์ล่ะก็ LED คือคำตอบของท่านครับ ยิ่งถ้าเป็นเรื่องราคาค่าตัวด้วยแล้ว ทีวี 32 นิ้ว
เรื่องจอแก้ว ทีวี 32 นิ้ว
กินไฟ 37 W/ชม. 5. จอ LCD ทีวี 32 นิ้ว
หรือหน้าจอขนาดใหญ่กว่านี้ ทุกวันนี้ก็เป็น LED ซ่ะส่วนมากแล้วเพราะ หากเราจะเลือก ทีวี 32 นิ้ว
LED กับ LCD แบบไหนประหยัดไฟกว่าสวัสดีครับเพื่อนๆวันนี้เราจะมาดูกันว่าระหว่าง
ทีวี 32 นิ้ว ทีวี 32 นิ้ว
[youtube]youtube.com/watch?v=IMLBAkVSh-4[/youtube]
หรือใหญ่กว่านั้นก็ตาม LCD คือเมื่อเรามองทีวีในมุมเฉียงๆ สีของภาพจะเริ่มบ้า เนื่องจากมุมมองของจอทีวี LCD มีข้อจำกัดในเรื่องมุมมองจากด้านอื่นๆ ที่ไม่ใช่มุมตรงๆ หรือเอียงนิดๆ แม้กรณีนี้จะเกิดขึ้นได้เหมือนกันในทีวี LED แต่ก็มีโอกาสเกิดที่น้อยกว่า และยิ่งกว่านั้นในหน้าจอ LED รุ่นใหม่ๆ จะไม่มีปัญหานี้แล้วล่ะครับ เรียกว่าดูจอที่มุม 180 องศา ภาพก็ยังไม่เพี้ยนเลย 3. อัตราการกินไฟฟ้า ขอฟันธงเลยว่า LED กินไฟน้อยกว่า LCD ครับ เพราะถึงแม้ว่าหลอด LED เล็กๆ ใน LED TV จะมีมากมายเรียงกันเป็นร้อยๆ หลอด แต่ก็ยังให้คุณภาพของสีสัน และใช้พลังงานน้อยกว่าจอ LCD มากนักผมจะเปรียบเทียบจอที่ผมมีอยู่ในครอบครองดังนี้นะครับ (ตามคู่มือของผู้ก่อกำเนิด)1. จอ CRT ทีวี 17 นิ้ว กินไฟ 110W/ชม.2. จอ LCD ทีวี 19 นิ้ว กินไฟ 35W/ชม.3. จอ LED ทีวี 23 นิ้ว กินไฟ 32W/ชม.4. จอ LED ทีวี 32 นิ้ว