แต่ถ้าเล่าถึงชื่อย่อ cd4 อาจจะไม่รู้ว่าคืออะไร ขอไขความง่ายๆ ครับผมว่า cd4 บางคราวถูกเรียกว่า T-cells หรือ T-helper cells เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งจัดระบบภูมิต้านทานของร่างกายต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส ซึ่งเจ้าเซล์เม็ดเลือดชนิดนี้มีความสำคัญต่อการวินิจฉัยการติดโรคเอชไอวี อีกด้วยเพราะเป็นเซลล์ที่เชี้อเอชไอวีเข้าไปเล่นงานทำลาย
ถึงแม้ว่าว่าถ้าคุณไม่มีเชื้อ เอชไอวี แต่ก็ยังมีหลายเหตุที่มีผลต่อปริมาณ T-cells เช่น T-cells ของเพศหญิงจะขึ้นและลงในช่วงที่มีเมนส์ ยาคุมชนิดเม็ดจะทำให้ปริมาณ T-cells เบาบางลงได้ หรือในบางขณะที่ร่างกายผ่อนคลาย T-cells จะลดระดับลงและลดลงได้มากถึง 40% ฯลฯ
ดังนั้นค่าที่เป็น Absolute cd4 จึงเป็นค่าที่นำไปเป็นเกณฑ์การรับยาต้านไวรัส ถ้าค่า cd4 ต่ำกว่า 200 ลงมา ก็ไปพบหมอเพื่อขอกินยาต้านไวรัสได้เลย ถึงกระนั้นถ้ายังสูงมากกว่า 200 ก็อย่าเพิ่งบริโภคยาต้าน ให้รักษาพยาบาลตามอาการเเทรกซ้อนด้วยยาเฉพาะโรคอื่นๆ ไปก่อนขอรับ ซึ่งยาต้านไวรัสเอดส์หรือบางท่านเรียกสั้นๆ ว่า
ยาต้าน
คำศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่า
เออาร์วี
(ARV) ย่อมาจาก antiretroviral
ผู้ที่ติดเชื้อที่ระดับเซลล์เม็ดเลือดขาวลดน้อยลงอย่างฉับพลันในช่วงติดเชื้อใหม่และไม่สามารถเยียวยารักษาระดับเซลล์เม็ดเลือดขาวให้เท่าเดิมได้ มีความเอนเอียงที่จะมีอาการของโรคเอดส์เร็วกว่าปกติขอรับ เมื่อใดที่การตรวจวัดระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวอยู่ที่ 200-500 นั่นกล่าวถึงว่าระดับภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ถูกทำร้ายแล้ว

การลดอย่างยิ่งของเซลล์เม็ดเลือดขาวจะเป็นสัญญาณของอาการที่จะเกิดขึ้นก่อน 1 ปี ก่อนที่จะวินิจฉัยว่าคนไข้เป็นโรคเอดส์อย่างสมบูรณ์แบบ การรักษาร่างกายที่ดีจึงควรเข้ารับการตรวจทานวัดระดับเซลล์เม็ดเลือดขาว (cd4) อย่างโดยตลอด เนื่องด้วยระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวมีความสลักสำคัญอย่างมากที่จะใช้เป็นแนวทางในการป้องกัน หรือการให้ยาต้านไวรัสแก่ผู้ป่วยเพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนบางจำพวก เช่น ระดับ T-cells น้อยกว่า 200 แพทย์จะให้การดูแลคุ้มกันโรคปอดอักเสบ เป็นอาทิ
ซึ่งเซลล์เม็ดเลือดขาวเองก็เป็นพารามิเตอร์หลักที่นายแพทย์ใช้ในการวินิจฉัยโรคในขั้นแรก
ปัจจุบันนี้เราใช้จำนวนรวมเซลล์ cd4-T lymphocyte และปริมาณเชื้อ viral load หรือ HIV RNA มาเป็นตัวบอกระยะและพยากรณ์ของโรค ตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีจำนวนรวมเซลล์เม็ดเลือดขาวT lymphocyte มากกว่า 500 cells/mm3 จะมีโอกาสเสี่ยงต่ำในการเกิดโรคเอดส์และความเจ็บไข้แทรกซ้อนอื่นใน 3 ปี การเจาะตรวจ T-cells ควรจะเจาะทุก 3-6 เดือนขึ้นกับสภาพของผู้เจ็บป่วย ผู้ที่เจาะได้เซลล์ผลรวมน้อยก็ต้องเจาะถี่ขึ้น ส่วนผู้ที่มีเซลล์มากก็เจาะทุก 6 เดือน
โดยระดับปรกติของ T-cells ในคนที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี จะอยู่ระหว่าง 400 1600 ต่อเลือด 1 ลบ.มม. และ T-cells ของสุภาพสตรีที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี นั้นจะมีแนวโน้มที่สูงกว่านิดหน่อย คือ 500 1600.
ค่าปกติธรรมดาเม็ดเลือดขาวหรือ WBC คือ ประมาณ 5000-10000 cells/cu.mm.ส่วนค่า % Lymp จะไม่เหมือนกัน บางท่านสูง บางคนต่ำ ค่าปกติของ % Lymp อยู่ในช่วงใกล้เคียง 19-48% โดยเหตุนั้นจึงต้องดูค่าทั้ง 3 อย่างเเละนำไปใส่สมการสูตรคำนวณออกมา
เซลล์ตัวนี้มีความสำคัญตรงที่ทำภาระหน้าที่เป็นเหมือนตัวคุมระบบภูมิคุ้มกันทั้งปวง พอเซลล์นี้ถูกทำลายไประบบภูมิคุ้มกันก็ทำงานผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถปกป้องรักษาร่างกายจากเชื้อโรคต่างๆ ได้ เมื่อร่างกายติดไวรัสเหล่านี้เข้าพร้อมๆ กันก็จะเกิดเป็นโรคเอดส์สุดท้าย การสำรวจหาจำนวนของ T-cells จึงเป็นตัวช่วยบ่งชี้ว่าระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายยังทำงานดีอยู่หรือเปล่า และเชื้อเอชไอวีทำให้ระบบภูมิต้านทานแย่ไปจนถึงเวลาที่ต้องรับยาต้านไวรัสหรือยัง
ครั้งนี้เรามาดูกันว่าหมอมีวิธีการวินิจจัยและจ่ายยาต้านไวรัสให้ผู้ป่วย โดยดูจากปริมาณเม็ดเลือดขาวหรือ
cd4 เช่นไร cd4
ในล่าสุดมียาต้านไวรัสเอดส์มากมาย ออกฤทธิ์ระงับการเพาะพันธุ์ทำให้เชื้อไวรัสเอดส์เบาลงได้ และช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวประเภท T-cell
ยาต้านไวรัสเอดส์ส่วนมากใช้ได้ผลดี แต่ก็ยังอาจพบอุปสรรคของการใช้ยาบางอย่าง ได้แก่ ตัวปัญหาจากผลข้างเคียงของยา ตัวปั
ปกติร่างกายจะผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวไม่กี่ล้านเซลล์ แต่เจ้าไวรัสเอชไอวี อาจแบ่งตัวได้มากถึงวันละหมื่นล้านตัว นับว่าเป็นเลขจำนวนที่เหลื่อมล้ำกันอย่างชัดเจนจนน่าตื่นเต้นตกใจเลยใช่มั้ยครับผม
ในล่าสุดวิวัฒนาการทางการแพทย์ยุคใหม่ก้าวหน้าไปมาก ทำให้การวินิจฉัยโรคภัยต่างๆ สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว และช่วยลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตหรือทุพพลภาพของผู้ป่วยได้เยอะแยะ