ดังนั้นค่าที่เป็น Absolute cd4 จึงเป็นค่าที่นำไปเป็นกฏเกณฑ์การรับยาต้านไวรัส ถ้าค่า cd4 ต่ำกว่า 200 มา ก็ไปพบผู้รักษาเพื่อขอทานยาต้านไวรัสได้เลย อย่างไรก็ดีถ้ายังสูงมากกว่า 200 ก็อย่าเพิ่งบริโภคยาต้าน ให้รักษาพยาบาลตามอาการเเทรกซ้อนด้วยยาเฉพาะโรคอื่นๆ ไปก่อนขอรับ ซึ่งยาต้านไวรัสเอดส์หรือบางคนเรียกสั้นๆ ว่า
ยาต้าน
ศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่า
เออาร์วี
(ARV) ย่อมาจาก antiretroviral
แต่ถ้าพูดถึงชื่อย่อ cd4 อาจจะไม่รู้ว่าคืออะไร ขออธิบายง่ายๆ ครับผมว่า cd4 บางโอกาสถูกเรียกว่า T-cells หรือ T-helper cells เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งจัดระบบภูมิต้านทานของร่างกายต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส ซึ่งเจ้าเซล์เม็ดเลือดชนิดนี้มีความสำคัญต่อการวินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวี ด้วยเพราะเป็นเซลล์ที่เชี้อเอชไอวีเข้าไปทำร้ายทำลาย
การลดลงอย่างยิ่งของเซลล์เม็ดเลือดขาวจะเป็นสัญญาณของอาการที่จะเกิดขึ้นก่อน 1 ปี ก่อนที่จะวินิจฉัยว่าคนป่วยเป็นโรคเอดส์อย่างสมบูรณ์แบบ การควบคุมร่างกายที่ดีจึงควรเข้ารับการตรวจสอบวัดระดับเซลล์เม็ดเลือดขาว (cd4) อย่างบ่อยๆ เนื่องมาจากระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวมีความสำคัญอย่างมากที่จะใช้เป็นแนวทางในการป้องกัน หรือการให้ยาต้านไวรัสแก่คนป่วยเพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนบางตระกูล เช่น ระดับ T-cells น้อยกว่า 200 แพทย์จะให้การดูแลป้องกันโรคปอดอักเสบ เป็นต้น
ซึ่งเซลล์เม็ดเลือดขาวเองก็เป็นพารามิเตอร์ต้นแบบที่นายแพทย์ใช้ในการวินิจฉัยโรคในขั้นต้น
โดยระดับปกติธรรมดาของ T-cells ในคนที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี จะอยู่ระหว่าง 400 1600 ต่อเลือด 1 ลบ.มม. และ T-cells ของสตรีที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี นั้นจะมีแนวโน้มที่สูงกว่านิดหน่อย คือ 500 1600.
ยาต้านไวรัสเอดส์ส่วนมากใช้ได้ผลดี แต่ก็ยังอาจพบอุปสรรคของการใช้ยาบางอย่าง ได้แก่ ปัญหาจากผลข้างเคียงของยา อุปสรร
ในยุคปัจจุบันวิวัฒนาการทางการแพทย์สมัยใหม่ก้าวหน้าไปมาก ทำให้การวินิจฉัยความเจ็บไข้ต่างๆ สามารถทำได้อย่างปัจจุบันทันด่วน และช่วยลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตหรือพิการของผู้ป่วยได้เยอะแยะ
ช่วงปัจจุบันเราใช้จำนวนเซลล์ cd4-T lymphocyte และปริมาณเชื้อ viral load หรือ HIV RNA มาเป็นตัวบอกระยะและพยากรณ์ของโรค เช่น ผู้ที่มีจำนวนรวมเซลล์เม็ดเลือดขาวT lymphocyte มากกว่า 500 cells/mm3 จะมีโอกาสเสี่ยงต่ำในการเกิดโรคเอดส์และโรคแทรกซ้อนอื่นใน 3 ปี การเจาะตรวจ T-cells ควรจะเจาะทุก 3-6 เดือนขึ้นกับสภาพของผู้เจ็บป่วย ผู้ที่เจาะได้เซลล์จำนวนรวมน้อยก็ต้องเจาะถี่ขึ้น ส่วนผู้ที่มีเซลล์มากก็เจาะทุก 6 เดือน
ธรรมดาร่างกายจะผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวไม่กี่ล้านเซลล์ แต่เจ้าไวรัสเอชไอวี สามารถแบ่งตัวได้มากถึงวันละหมื่นล้านตัว นับว่าเป็นเลขจำนวนที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนจนน่าตระหนกเลยใช่มั้ยครับผม
ครั้งนี้เรามาดูกันว่าแพทย์มีวิธีการวินิจจัยและจ่ายยาต้านไวรัสให้คนไข้ โดยดูจากปริมาณเม็ดเลือดขาวหรือ
cd4 อย่างใด cd4
ค่าประจำเม็ดเลือดขาวหรือ WBC คือ ประมาณ 5000-10000 cells/cu.mm.ส่วนค่า % Lymp จะไม่เหมือนกัน บางท่านสูง บางคนต่ำ ค่าปกติธรรมดาของ % Lymp อยู่ในช่วงราว 19-48% ฉะนั้นจึงต้องดูค่าทั้ง 3 อย่างเเละนำไปใส่สมการสูตรคำนวณออกมา
ถึงแม้ว่าว่าถ้าคุณไม่มีเชื้อ เอชไอวี แต่ก็ยังมีหลายเหตุที่มีผลต่อปริมาณ T-cells เช่น T-cells ของเพศหญิงจะขึ้นและลงในช่วงที่มีรอบเดือน ยาคุมชนิดเม็ดจะทำให้ปริมาณ T-cells น้อยลงได้ หรือในบางขณะที่ร่างกายผ่อนคลาย T-cells จะลดระดับลงและลดลงได้มากถึง 40% เป็นอาทิ

เซลล์ตัวนี้มีความสำคัญตรงที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนตัวควบคุมระบบภูมิต้านทานทั้งหมด พอเซลล์นี้ถูกทำลายไประบบภูมิต้านทานก็ทำงานผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคต่างๆ ได้ เมื่อร่างกายติดไวรัสเหล่านี้เข้าพร้อมๆ กันก็จะเกิดเป็นโรคเอดส์ท้ายที่สุด การตรวจสอบหาจำนวนของ T-cells จึงเป็นตัวช่วยบ่งชี้ว่าระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายยังทำงานดีอยู่หรือเปล่า และเชื้อเอชไอวีทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแย่ไปจนถึงเวลาที่ต้องรับยาต้านไวรัสหรือยัง
ในช่วงปัจจุบันมียาต้านไวรัสเอดส์มากมาย ออกฤทธิ์ขวางการแพร่พันธุ์ทำให้เชื้อไวรัสเอดส์ลดน้อยลงได้ และช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าไปทำร้ายเซลล์เม็ดเลือดขาวพวก T-cell
ผู้ที่ติดเชื้อที่ระดับเซลล์เม็ดเลือดขาวถดถอยอย่างฉับพลันในช่วงติดเชื้อใหม่และไม่สามารถเยียวยารักษาระดับเซลล์เม็ดเลือดขาวให้หยุดนิ่งได้ มีความโน้มเอียงที่จะมีอาการของโรคเอดส์เร็วกว่าปกติครับ เมื่อใดที่การตรวจสอบวัดระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวอยู่ที่ 200-500 นั่นแสดงให้เห็นว่าระดับภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ถูกทำลายแล้ว