
หัวข้อ: เซลล์เม็ดเลือดขาว cd4 กับรูปแบบการแพทย์แผนปัจจุบันในการป้องกันผู้ป่วยโรคเอดส์
เริ่มหัวข้อโดย: JoshuaPowell25 ที่ พฤศจิกายน 19, 2017, 12:42:21 am
ปกติร่างกายจะผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวไม่กี่ล้านเซลล์ แต่เจ้าไวรัสเอชไอวี สามารถแบ่งตัวได้มากถึงวันละหมื่นล้านตัว นับว่าเป็นเลขที่เหลื่อมล้ำกันอย่างชัดเจนจนน่าตื่นเต้นตกใจเลยใช่มั้ยขอรับ
ยาต้านไวรัสเอดส์ส่วนใหญ่ใช้ได้ผลดี แต่ก็ยังอาจพบ
ในประจุบันวิวัฒนาการทางการแพทย์ล้ำสมัยก้าวหน้าไปมาก ทำให้การวินิจฉัยความเจ็บป่วยต่างๆ สามารถทำได้อย่างทันที และช่วยลดการเสี่ยงในการเสียชีวิตหรือทุพพลภาพของผู้ป่วยได้มากมาย
ในช่วงปัจจุบันมียาต้านไวรัสเอดส์จำนวนมาก ออกฤทธิ์สกัดกั้นการเพาะพันธุ์ทำให้เชื้อไวรัสเอดส์บรรเทาเบาบางได้ และช่วยรักษาไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าไปทำร้ายเซลล์เม็ดเลือดขาวตระกูล T-cell
แต่ถ้าเล่าถึงชื่อย่อ cd4 อาจจะไม่รู้ว่าคืออะไร ขอชี้แจงง่ายๆ ครับว่า cd4 เป็นครั้งคราวถูกเรียกว่า T-cells หรือ T-helper cells เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งจัดระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส ซึ่งเจ้าเซล์เม็ดเลือดชนิดนี้มีจุดสำคัญต่อการวินิจฉัยการติดโรคเอชไอวี ด้วยเพราะเป็นเซลล์ที่เชี้อเอชไอวีเข้าไปโจมตีทำลาย
(http://)
ซึ่งเซลล์เม็ดเลือดขาวเองก็เป็นพารามิเตอร์หลักที่แพทย์ใช้ในการวินิจฉัยโรคในขั้นต้น
หากแม้ว่าถ้าคุณไม่มีเชื้อ เอชไอวี แต่ก็ยังมีหลายปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณ T-cells เช่น T-cells ของสุภาพสตรีจะขึ้นและลงในช่วงที่มีรอบเดือน ยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดจะทำให้ปริมาณ T-cells น้อยลงได้ หรือในบางขณะที่ร่างกายคลายเครียด T-cells จะลดระดับลงและลดลงได้มากถึง 40% เป็นต้น
ค่าโดยทั่วไปแล้วเม็ดเลือดขาวหรือ WBC คือ ประมาณ 5000-10000 cells/cu.mm.ส่วนค่า % Lymp จะไม่เหมือนกัน บางท่านสูง บางคนต่ำ ค่าโดยทั่วไปแล้วของ % Lymp อยู่ในช่วงราว 19-48% เพราะฉะนั้นจึงต้องดูค่าทั้ง 3 อย่างเเละนำไปใส่สมการสูตรคำนวณออกมา
โดยเหตุนั้นค่าที่เป็น Absolute cd4 จึงเป็นค่าที่นำไปเป็นมาตรฐานการรับยาต้านไวรัส ถ้าค่า cd4 ต่ำกว่า 200 ลงมา ก็ไปพบผู้รักษาเพื่อขอรับประทานยาต้านไวรัสได้เลย อย่างไรก็ดีถ้ายังสูงมากกว่า 200 ก็อย่าเพิ่งบริโภคยาต้าน ให้รักษาตามอาการเเทรกซ้อนด้วยยาเฉพาะโรคอื่นๆ ไปก่อนครับผม ซึ่งยาต้านไวรัสเอดส์หรือบางท่านเรียกสั้นๆ ว่า
ยาต้าน
ศัพท์แสงทางการแพทย์เรียกว่า
เออาร์วี
(ARV) ย่อมาจาก antiretroviral
โดยระดับปกติธรรมดาของ T-cells ในคนที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี จะอยู่ระหว่าง 400 1600 ต่อเลือด 1 ลบ.มม. และ T-cells ของผู้หญิงที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี นั้นจะมีความโอนเอียงที่สูงกว่านิดหน่อย คือ 500 1600.
ผู้ที่ติดเชื้อที่ระดับเซลล์เม็ดเลือดขาวเบาบางลงอย่างฉับพลันในช่วงติดเชื้อใหม่และไม่สามารถรักษาพยาบาลระดับเซลล์เม็ดเลือดขาวให้คงเดิมได้ มีความเอนเอียงที่จะมีอาการของโรคเอดส์เร็วกว่าปกติครับผม เมื่อใดที่การตรวจสอบวัดระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวอยู่ที่ 200-500 นั่นแสดงว่าระดับภูมิต้านทานของร่างกายได้ถูกทำร้ายแล้ว
ต่อนี้ไปเรามาดูกันว่านายแพทย์มีวิธีการวินิจจัยและจ่ายยาต้านไวรัสให้คนไข้ โดยพินิจพิจารณาจากปริมาณเม็ดเลือดขาวหรือ cd4 อย่างไร
เซลล์ตัวนี้มีความสำคัญตรงที่ทำภาระหน้าที่เป็นเหมือนตัวบังคับการระบบภูมิคุ้มกันทั้งปวง พอเซลล์นี้ถูกทำร้ายไประบบภูมิคุ้มกันก็ทำงานเพี้ยน ทำให้ไม่สามารถดูแลร่างกายจากเชื้อโรคต่างๆ ได้ เมื่อร่างกายติดเชื้อไวรัสเหล่านี้เข้าพร้อมกันๆ กันก็จะเกิดเป็นโรคเอดส์ในบั้นปลาย การสำรวจหาจำนวนของ T-cells จึงเป็นตัวช่วยบ่งชี้ว่าระบบภูมิต้านทานของร่างกายยังทำงานดีอยู่หรือ และเชื้อเอชไอวีทำให้ระบบภูมิต้านทานแย่ไปจนถึงเวลาที่ต้องรับยาต้านไวรัสหรือยัง
ช่วงปัจจุบันเราใช้จำนวนเซลล์ cd4-T lymphocyte และปริมาณเชื้อ viral load หรือ HIV RNA มาเป็นตัวบอกระยะและพยากรณ์ของโรค อาทิเช่น ผู้ที่มีปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาวT lymphocyte มากกว่า 500 cells/mm3 จะมีโอกาสเสี่ยงต่ำในการเกิดโรคเอดส์และความเจ็บป่วยแทรกซ้อนอื่นใน 3 ปี การเจาะตรวจ T-cells ควรจะเจาะทุก 3-6 เดือนขึ้นกับสภาพของผู้เจ็บป่วย ผู้ที่เจาะได้เซลล์จำนวนน้อยก็ต้องเจาะถี่ขึ้น ส่วนผู้ที่มีเซลล์มากก็เจาะทุก 6 เดือน
การถอยอย่างมากมายของเซลล์เม็ดเลือดขาวจะเป็นเครื่องแสดงของอาการที่จะเกิดขึ้นก่อน 1 ปี ก่อนที่จะวินิจฉัยว่าคนไข้เป็นโรคเอดส์อย่างสมบูรณ์ การดูแลร่างกายที่ดีจึงควรเข้ารับการตรวจตราวัดระดับเซลล์เม็ดเลือดขาว (cd4 (http://gelaids.com/)) อย่างบ่อยๆ เนื่องมาจากระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวมีความสลักสำคัญอย่างมากที่จะใช้เป็นแนวทางในการเยียวยารักษา หรือการให้ยาต้านไวรัสแก่คนไข้เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนบางประเภท เช่น ระดับ T-cells น้อยกว่า 200 แพทย์จะให้การดูแลคุ้มกันโรคปอดอักเสบ ฯลฯ cd4