ชมรมเจ้ามือหวย
 
*
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน เมษายน 19, 2024, 03:13:42 am


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น


ผลสลากกินแบ่งรัฐบาลงวด 16 กรกฎาคม 2565 รางวัลที่ 1 620405 รางวัล3ตัวหน้า 159 834 รางวัล3 ตัวท้าย 279 061 รางวัลเลขท้าย 2ตัว 53




เว็บโปรแกรมเจ้ามือหวย



ทำงานแบบมีหลักการ ไม่กล้าจนเกินตัว ไม่กลัวจนเกินเหตุ
ปณิธานของชมรมเจ้ามือหวย
ทางชมรมเจ้ามือหวย หวังแค่เพียงเพื่อนๆ อยู่กันแบบเป็นพี่เป็นน้อง จริงใจ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน
ร่วมมือกันในการแบ่งปันข้อมูล มีอะไรดีๆ ก็นำเสนอแก่เพื่อนสมาชิก เพื่อเป็นแนวทางในการทำงาน
หรือระวังป้องกันให้ชาวชมรมได้อยู่ในวงการตลอดไปนานเท่านาน
ขอบคุณจากใจจริง
nongnai


หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ปัญหาเรื่องเทวดา  (อ่าน 9906 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
nongnaiTopic starter
Global Moderator
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เข้ามาล่าสุด:เมษายน 08, 2024, 12:45:15 pm
กระทู้: 919


จาก สมุทรปราการ

ระบบปฏิบัติการ::
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
บราวเซอร์::
Chrome 41.0.2272.89 Chrome 41.0.2272.89


« เมื่อ: มีนาคม 21, 2015, 08:41:55 am »

ปัญหาเรื่องเทวดา


ปัญหาเรื่องเทวดา
โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
ผู้ถาม :- “คนที่ชอบบนกับพระภูมิ ท่านสามารถจะช่วยได้จริงหรือเปล่าคะ…?”

หลวงพ่อ :- “ก็ไปถามท่านซิ ฉันไม่ใช่คนถูกบนนี่…?”

ผู้ถาม :- “บางครั้งคนที่ไปบนก็ได้รับความช่วยเหลือก็มีค่ะ แต่ยังไม่แน่ใจว่าท่านจะช่วยได้อย่างไร…?”

หลวงพ่อ :- “ท่านจะช่วยได้ในสิ่งที่ไม่เกินวิสัย อย่าลืมนะ คนกับเทวดานั้นไม่เหมือนกัน ถ้าสิ่งที่เกินวิสัยเขาก็หมดทางช่วยเหลือเหมือนกัน

เคยถามหลวงปู่ปานว่า เขาบนหลวงพ่อ เขาขอให้หลวงพ่อช่วย หลวงพ่อแย่ไหม…ท่านบอกว่าไม่หรอก บางทีเขาบนเกินวิสัยท่าน ท่านก็ให้คณะของท่านมาสงเคราะห์ พระโพธิสัตว์ทั้งนั้น ท่านต้องการช่วยคนอยู่แล้ว ท่านมีหน้าที่ช่วยคน ท่านทำเพื่อพระโพธิญาณ ถ้าท่านช่วยไม่ไหว องค์อื่นทำงานแทนทันที

คณะของพระโพธิสัตว์นี่บารมีเข้มข้นมาก พระภูมิเจ้าที่หรือเทวดา พวกท่านก็มีเยอะเหมือนกัน ความสามารถไม่เท่ากัน ความสามารถเขาดูกันที่มือ องค์ที่มีอานุภาพมาก มือขวาแดงช้าด แดงมากมีฤทธิ์มาก แดงน้อยมีฤทธิ์น้อย ที่ไม่แดงเลยไม่มีฤทธิ์เลย”

ผู้ถาม :- (หัวเราะ) “เราจำเป็นต้องตั้งศาลพระภูมิไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “ก็สุดแท้แต่เรา เพราะว่าที่ต้องมีการยกศาล ก็เป็นการยอมรับนับถือกัน เรื่องนี้บางคนเขาชอบสงสัย วันหนึ่งว่างๆ ถามท่านว่า ทำไมจึงต้องตั้งศาล ท่านก็เลยบอกว่า ฉันจะเล่าประวัติให้ฟัง


สมัยดึกดำบรรพ์ ชาวบ้านยังไม่มีอะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยวใจ ไปอยู่ที่ไหนก็ตาม ก็คิดว่าผีสางเทวดาอาจช่วยเขาได้ เขาก็จุดธูปเทียนบูชา ทีนี้ไอ้ที่บูชาที่ไหนมันก็ไม่เหมาะ เขาก็ปักบนกระบอกไม้

ต่อมาภายหลังความสุขสบายมีขึ้น ความเคารพนับถือมีขึ้น อาจจะใช้เวลาหลายชั่วอายุคนก็ได้ ก็คิดว่าเทวดานี่ดีจริง ทีนี้ทำยังไง จะวางกับดินก็ไม่ได้ หาโต๊ะหาตั่งลำบาก ก็ตั้งเป็นศาลเพียงตา ๒ ชั้น เวลาจะถวายอาหาร เขาก็เอาไปตั้งบนนั้น ต่อมาภายหลังเขาเกิดสงสารเทวดา ก็เลยทำหลังคาให้ และต่อมาก็ทำเป็นเรือนมีหลังคา ต่อมาก็ประดิษฐ์เป็นเรือนไทย เวลานี้เป็นตึกแล้ว

ก็รวมความว่า ศาลก็คือที่บูชานั่นเอง พระภูมิไม่ได้ขึ้นศาล วิมานท่านมีอยู่แล้ว ทีนี้ศาลที่เราทำเป็นที่บูชา การบูชานี่เป็นการยอมรับนับถือซึ่งกันและกัน

ก็เลยถามท่านว่า แล้วไปช่วยอะไรเขาได้บ้าง ท่านบอกว่าก็ช่วยได้เท่าที่จะช่วยได้ ถ้าสิ่งใดที่จะช่วยได้ก็พยายามช่วย ถ้าสิ่งใดที่ช่วยไม่ได้ก็พยายามป้องกัน ถ้ากันไม่ได้มากก็กันน้อย แต่ว่ากำลังกันเขามากกว่า เอาเต็มที่ไม่ได้เอาสิบเปอร์เซ็นต์ก็ยังดี จนกระทั่งเขาไม่บูชา ทีนี้พอจะกันเขาได้ ก็ไม่ได้เสียแล้ว เพราะไม่ได้ให้ช่วย จะช่วยได้ยังไงล่ะ เขาก็เฉย

ทีนี้ถ้าถามว่าควรตั้งศาลไหม ถ้าชอบก็ควร ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องตั้ง แต่ถ้าเป็นฉัน ฉันตั้งนะ และฉันเคยแนะนำให้เขาตั้งศาลทางทิศเหนือกับทิศตะวันออกของบ้าน ถ้าตั้งทางทิศใต้กับทิศตะวันตก ทำมาหากินมาได้เท่าไร ก็ไม่เหลือ”

ผู้ถาม :- “ผมก็ตั้งครับหลวงพ่อ ผมบูชาทั้งพระภูมิทั้งผีบ้านผีเรือน เวลาถวายข้าวพระภูมิ ผมจะมีข้าวตอกให้ผีบ้านผีเรือนด้วย ทีนี้ถ้าผมจะเชิญพระภูมิเจ้าที่ และผีบ้านผีเรือนพร้อมกันเลย ได้ไหมครับ…?”

หลวงพ่อ :- “ว่าได้เลย ทีเดียวพร้อมกัน ผีบ้านและผีเรือนก็หมายถึงภูมิเทวดา ผีอื่นเข้ามายุ่งไม่ได้”

ผู้ถาม :- “ทีนี้ของถวายเราเอาไว้ในห้องพระได้ไหมครับ…?”

หลวงพ่อ :- “ได้…วางกับพื้นหรือวางกับโต๊ะอีกโต๊ะหนึ่งก็ได้ เทวดาก็เหมือนพระ ถ้าวางไว้คนละโต๊ะไม่เป็นไร ไม่ถือว่าเป็นอาสนะเดียวกัน”

ผู้ถาม :- “แล้วอย่างถวายพวงมาลัยพระ แต่ไม่ต้องจุดธูปเทียนนี่จะได้ไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “ได้…ฉันนี่ฝ่ายขี้เกียจจุดธูปเทียน ฉันใช้เทียนไฟฟ้า เวลาบูชาก็กดสวิทซ์แชะเป็นแสงสวยดีกว่า สว่างกว่าใช่ไหม…?

คือว่าการบูชาด้วยเทียนเป็นการบูชาแสงสว่าง หรือเป็นการบูชาด้วยประทีปโคมไฟ ถ้าไฟฟ้าก็สว่างกว่าเทียนธรรมดา แล้วไม่มีอันตรายจากไฟด้วย มีประโยชน์กว่าเยอะ แต่ถ้าเราหาอะไรไม่ได้ ก็เอาธูปน้อยๆ เทียนน้อยๆ เป็นแสงสว่างนั่นแหละดี”

ผู้ถาม :- “ผมเคยฟังเทปที่คุณพรนุชท่องสวรรค์ บอกว่าวิมานของภูมิเทวดาสูงจากพื้นดินสักคืบหนึ่ง ทีนี้เวลาที่ขับรถผ่านไปก็ดี คนผ่านไปก็ดี หรือขี้เยี่ยวก็ดี อย่างนี้ไม่ถูกเขาหรือครับ…?”

หลวงพ่อ :- “วิมานเขาเป็นวิมานทิพย์ขยับได้ พอขี้จะถูกขยับปั๊บ”

ผู้ถาม :- “อ้อ…หลบได้ด้วย”

หลวงพ่อ :- “ไม่ถูก อย่างเขาพระสุเมรุ สูงมากจากพื้นดินไปถึงดาวดึงส์ และดาวดึงส์นั้นอยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ เครื่องบินยังไม่เคยชนเลย ไม่มีอะไรชนได้หรอก เพราะสภาพเป็นทิพย์”

ผู้ถาม :- “เป็นอันว่า ขี้เยี่ยวตรงไหนไม่ต้องกลัวไปโดนนะครับ…?”

หลวงพ่อ :- “ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องห่วง เอาอย่างนี้ดีกว่า เพื่อความมั่นใจ เวลาจะถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ก็ยกมือไหว้ เจ้าประคุ้น หลบหน่อยเถิด มันจำเป็นจริงๆ”

ผู้ถาม :- (หัวเราะ)

หลวงพ่อ :- “ไม่เป็นไรหรอกนะ สภาพท่านเป็นทิพย์ ไม่มีอะไรกระทบท่านได้”

ผู้ถาม :- “หลวงพ่อคะ บ้านทุกหลังมีพระภูมิเจ้าที่อยู่ไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “เขาคงไม่อยู่นะ พระภูมิองค์หนึ่งรักษาเขตเป็นกิโลๆ องค์เดียวกันนี่นะ เคยถามเขาว่าคนที่คุณรักษาในเขตกรุงเทพเป็นกิโลนี่ คนมันมากเหลือเกิน มีเป็นล้าน แล้วคุณจะรู้ได้ยังไงว่าเขาทำดีทำชั่ว ต่างกรรมต่างวาระ คุณรู้ได้ยังไง

เขาบอกว่าอารมณ์จิตผมเป็นทิพย์ครับ คือไม่ต้องไปถามดูหรอก มันขึ้นเอง คือว่าบัญชีมันขึ้นเลย มันจะบอกเลยว่าใครทำอะไร เขาบอกว่า เขามีหน้าที่รับทราบคนที่ทำความดีความชั่ว

เมื่อถึงเวลาวันโกน วันกลางเดือน หรือวันสิ้นเดือน จะมีเทวดาชั้นจาตุมหาราชมารับบัญชี และก็จะไปส่งให้เทวดาที่เป็นมหาอำมาตย์ใหญ่ เทวดาผู้ใหญ่ก็เสนอท้าวมหาราช

ท้าวมหาราชท่านก็จะแบ่งบัญชีเป็น ๒ บัญชี ใครทำบาปกันไว้ประเภทของบาป ใครทำบุญกันไว้ประเภทของบุญ ประเภทบาปก็ให้เทวดา ๔ องค์ ที่เรียกว่าเทวทูต นำไปส่งสำนักพระยายม ตัวท่านท้าวมหาราชเอง พอเวลาวันพระก็นำไปส่งที่ประชุมของเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

เมื่อเทวดามาประชุมกันที่เทวสภาหรือศาลาสุธรรมา บรรดาเทวดาทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อทราบว่าคนทำบุญมากก็ดีใจ แต่หน้าที่ที่จะนำเอาบัญชีนั้นไปกราบทูลให้พระอินทร์ทรงทราบ คือ ท่านปัญจสิกขเทพบุตร มีหน้าที่เป็นเลขาพระอินทร์ เมื่อพระอินทร์ทรงทราบแล้ว ก็ประกาศนามคนที่ทำบุญเหล่านั้นให้มวลหมู่เทวดาที่มาประชุมกันทราบ

ถ้าระหว่างวันพระไหนมีคนทำบุญมาก บัญชีบุญบัญชีกุศลมาก บรรดาเทวดาทั้งหลายก็ดีใจ กล่าวกันว่าต่อแต่นี้ไปพวกบรรดาเทพนิกายมากแล้ว เพราะอาศัยความดีดีใจปลื้มใจที่มีพวกมาก ท่านก็พากันฟ้อนรำทั้งเทวดาและนางฟ้า ความจริงสวยจริงๆ นะ

แต่วันพระไหนถ้าบังเอิญคนทำบุญน้อย บรรดาเทวดาทั้งหลายได้ทราบจากบัญชีของท้าวมหาราชก็สลดใจ วันนั้นไม่มีการฟ้อนรำ นั่งสลดใจเศร้าสร้อยไปตามๆ กัน”

ผู้ถาม :- “ความจริงเราบูชาเทวดาก็ดีเหมือนกันนะครับ”

หลวงพ่อ :- “เขาเป็นเทวดา เราบูชาได้ อย่าลืมว่าเขาเป็นเทวดาแล้ว เรายังไม่เป็นเทวดา เราจะถือว่าเราดีกว่าเค้าไม่ได้ ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นภูมิเทวดา ท่านก็เป็นเทวดาแล้ว เรายังไม่เป็นเทวดา ยังเอาแน่ไม่ได้ ใช่ไหม…

เวลาที่เราบูชาเทวดา ในวิสุทธิมรรคท่านเรียกว่า เทวตานุสสติกรรมฐาน นึกถึงความดีของเทวดา คือ เขาจะเป็นเทวดาได้ด้วยคุณธรรม ๒ ประการ คือ หิริ กับ โอตตัปปะ เรื่องชั่วนี่เขาไม่ทำ เขาจึงเป็นเทวดาได้ เราก็ใช้แบบนั้น

และเขาก็ดีจริงๆ ถ้ามีอะไรขัดข้องที่จะต้องทำ ถ้าไม่เกินวิสัย เขาจะมาบอกเลย ท่านจะมาบอกก่อนเสมอ”

ผู้ถาม :- “หลวงพ่อคะ ภูมิเทวดานี่จะอยู่ถึงศาสนาพระศรีอาริย์ไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “ถ้าเทวดาองค์นั้นไม่จุติก็อยู่ถึง”

ผู้ถาม :- (หัวเราะ)

หลวงพ่อ :- “ภูมิเทวดา ก็มีอายุเท่ากับอากาศเทวดาคือจาตุมหาราช แต่ว่าจะเอาแน่อะไรกับท่านล่ะ เทวดามี ๒ ประเภท เทวดาขยันกับเทวดาขี้เกียจ คือว่า เทวดาขยันนี่ ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ ก็ขยันจุติมาบำเพ็ญบารมีเพิ่ม ถ้าเทวดาขี้เกียจ ก็ปล่อยเต็มหุ่ย หมดอายุเมื่อไรจุติเมื่อนั้น”

ผู้ถาม :- “อายุของภูมิเทวดาเท่าไรคะ…?”

หลวงพ่อ :- “ภูมิเทวดามีอายุ ๕๐๐ ปีทิพย์ ๕๐ ปีของเราเป็น ๑ วันของเขา ก็ลองคิดซิ อีกล้านปีพระศรีอาริย์จึงจะตรัส”

ผู้ถาม :- “ภูมิเทวดาเป็นพวกเดียวกับรุกขเทวดา หรือเปล่าคะ…?”

หลวงพ่อ :- “ก็เหมือนกัน แต่รุกขเทวดาอยู่สูงกว่าหน่อย อยู่บนต้นไม้ ถ้าต้นไม้พังวิมานก็พัง ก็ต้องเดินดินเหมือนกัน คือลอยไม่ได้”

ผู้ถาม :- “ค่ะ ทีนี้มีอีกอย่างนะคะที่หนูสงสัย คือเวลาที่หนูสวดมนต์บูชาพระ แล้วก็อุทิศส่วนกุศลไปยังสัตว์โลกทั้งหลาย แต่มีเพื่อนคนหนึ่งมาบอกว่า ให้อุทิศส่วนกุศลแก่ท้าวเวสสุวัณด้วย เพื่อให้ท่านเป็นพยาน ท้าวเวสสุวัณ คือใครคะ…?”

หลวงพ่อ :- “ท้าวเวสสุวัณ ก็คือท้าวมหาราชองค์หนึ่ง มี ๔ องค์ด้วยกัน คือ ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักษ์ และ ท้าวเวสสุวัณ

ถ้าเทวดาชั้นจาตุมหาราช เขาจะมีสองแบบนะ ยามปกติเขาจะอยู่ในฐานะทหารของพระอินทร์ เขาจะมีรูปร่างเหมือนคนนี่ล่ะ แต่ว่าเป็นคนละแบบ ท่าทางจะไม่สวยนัก แต่ถ้าเขาเข้าเครื่องทรงธรรมดาจะคล้ายพรหมหมด สวยมาก เพราะพวกนี้ก่อนตายเขาได้ฌาน แต่ว่าไม่ได้ถึงฌาน ๔ ได้แค่ฌาน ๑,๒,๓ และก่อนจะตายไม่ได้เข้าฌานตาย เขาจึงไปเป็นพรหมไม่ได้ จึงต้องพักแค่จาตุมหาราช

พอไปชั้นนี้ฌานก็ทรงตัวตามเดิม แต่ก็ยังไปเป็นพรหมไม่ได้ ต้องทำงานตามเวลาก่อน เมื่อหมดวาระก็ไปเป็นพรหมตามกำลังของฌาน เวลาเขาแต่งเครื่องทรงเทวดานี่ รูปร่างเพรียวหมด มีสภาพเหมือนกับพรหม เพราะเขาไปจากฌาน เวลาอยู่ปกติเขาจะมีรูปร่างไม่เหมือนกัน

อย่างลูกศิษย์ท้าวธตรฐนี่ มีรูปร่างเพรียวๆ สวยสะโอดสะองหน่อยๆ

ถ้าลูกศิษย์ท้าววิรุฬหก เขาเรียกกุมภัณฑ์ อ้วนต่ำ

ถ้าลูกศิษย์ท้าววิรูปักษ์ บอกลักษณะยาก ก็เหมือนกับคนเรานี่ อ้วนๆ ล่ำๆ แต่สูง

ถ้าลูกศิษย์ท้าวเวสสุวัณนี่ ผมหยักโศก ท่าทางทะมัดทะแมงแข็งแรงมาก

แต่เทวดา ๔ ทิศนี่ มีพระท่านหนึ่ง จ.อยุธยา บอกว่า เทวดา ๔ ทิศนี่ มีเกเรจริงๆ อยู่ ๒ ทิศ คือ ลูกศิษย์ท้าวเวสสุวัณ กับลูกศิษย์ท้าววิรุฬหก แต่ความจริงเขาเข้มแข็งเอาเหมือนกัน ถามว่าเกเรเพราะอะไร แกก็ไม่บอกให้ฟัง

มีวันหนึ่งเขาสร้างศาลาหลังใหญ่ เขาจะยกเสาขึ้นไป ท่านก็จัดการบวงสรวง ฉันก็ไปในงานนั้นด้วย แต่มีเหล้าอยู่แก้ว ถามว่าทำไมต้องมีเหล้า เขาบอกว่าตำราเขามีอย่างนี้ ก็บอกว่า ตายล่ะ…ที่ท่านบอกว่าเทวดา ๒ ทิศเกเร ก็ท่านทำอย่างนี้ก็เกเรซิ เขาก็ถามว่า ทำไม ก็บอกว่าแกเลี้ยงเหล้าก็เมา แกบอกว่าตำราเขาว่าอย่างนั้น แกทำมาเรื่อยๆ ก็บอกตามใจ วันนี้เมาหมด ก็จริงๆ เสาขึ้นเสาเมา ขื่อขึ้นขื่อเมา เมาหมดทุกอย่าง นี่เป็นอย่างนี้

ทีนี้เวลาอุทิศส่วนกุศลแล้วบอกให้ท่านเป็นพยาน อันนี้ดี เมื่อก่อนฉันนึกว่าเขาพูดเล่น คิดว่าเขาเพ้อเจ้อ ฝากเทวดาให้เป็นพยาน ว่าก็ว่าไม่น่าเชื่อ ต่อมาพอมีประสบการณ์จริงจังจึงเชื่อ

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง มีหลายคน พวกที่บอกฝากนี่นะ เวลาที่แกตายบางทีกำลังใจแกอ่อน คือสมถะวิปัสสนานี่แกไม่เอา เอาแต่ทำบุญธรรมดา เวลาจะตายจิตก็เฝือหน่อย ห่วงนั่นนิด ห่วงนี่หน่อย นั่นเขาเรียกว่าจิตเฝือ ก็ต้องลงไปที่สำนักพระยายมก่อน

เวลาไปอยู่สำนักพระยายม เวลาท่านสอบสวน กรรมบางอย่างมันปกปิด ถามเรื่องบุญมันนึกไม่ออก ถ้าเขานึกถึงบุญไม่ออก ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องปล่อยให้ลงนรก หากถาม ๓ เที่ยวนึกไม่ออก ท่านก็จะได้ประกาศว่า เขาเคยบอกฉันไว้ว่า เวลาเขาทำบุญให้ฉันเป็นพยาน แล้วท่านก็ประกาศกุศลนั้น ก็ได้ไปสวรรค์ อันนี้ดีนะ แต่จะหาว่าท่านเล่นพรรคเล่นพวกไม่ได้นะ ท่านไม่ได้จำกัด”

ผู้ถาม :- “แล้วพระยายมล่ะคะ…?”

หลวงพ่อ :- “พระยายมนี่เป็นตำแหน่ง ความจริงท่านเป็นพรหม และสำนักพระยายมก็อยู่ในเขตของจาตุมหาราช ไม่ใช่เขตนรก เวลาเราไปที่สำนักพระยายม เราจะเห็นมีวิมานสวยสดงดงาม แล้วก็เป็นทุ่งโล่งเตียน มีสวนดอกไม้สวยสดงดงาม

เวลาจะมองดูนรกต้องมองไปทางตะวันออกไกลมาก จะเห็นแสงเพลิงมันสว่างพุ่งขึ้นบนอากาศ เป็นลานกว้างมาก ทีนี้โดยมากคนเข้าใจว่าพระยายมเป็นพวกของนรก ความจริงท่านไปนั่งกันมิให้ลงนรกนะ”

ผู้ถาม :- “ยังงั้นให้ท่านพระยายมเป็นพยานองค์เดียวก็ได้ใช่ไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “องค์นั้นองค์เดียวก็พอ เพราะถ้าท่านไม่กั้นละก็…ป๋อง…”

ผู้ถาม :- “หลวงพ่อลงไปเที่ยวคงร้อนมากซิคะ…?”

หลวงพ่อ :- “ใช่…ร้อนกว่าไฟธรรมดาหลายแสนเท่า มันร้อนกว่าไฟที่เราใช้อยู่นี่นะ แต่ถ้าเราลงไปเที่ยวไม่ร้อน ถ้าเราถูกลงโทษมันจึงจะร้อน แต่ว่าผู้ลงไปเที่ยว เขาห้ามลงขุมนรก ลงได้แต่ขอบๆ ลงไปในขุมเขาไม่ได้นะ มีเจ้าหน้าที่เขาคอยกันอยู่ ถ้าลงขุมไฟเขาดับ

ถ้าเราจะไปเที่ยวนรก เราจะไปตามลำพังมันก็ไม่เกิดประโยชน์ เราต้องไปสำนักพระยายมก่อน แล้วไปขอคนจากสำนักพระยายมคนหนึ่ง เราจะไปขุมไหนเขาจะพาไป ถ้าเราไปคนเดียว ถ้าเราเจอสัตว์นรกสักคนหนึ่ง เราเห็นเราก็รู้เลยว่าใครเป็นใคร

ถ้าเราต้องการจะเรียกขึ้นมาพูด เขาไม่ให้ขึ้นมาหรอก ถ้าหากไปพูดกับนายนิริยบาลขอให้คนนั้นขึ้นมา เขาจะไม่พูดกับเรา ต้องให้คนจากสำนักพระยายมไปบอก คนที่ได้ก็คือเทวดา ถ้าเทวดาองค์นั้นท่านไปกับเรา เราต้องการจะคุยกับคนนี้ เขาก็บอกนายนิริยบาลให้เอาคนนั้นขึ้นมา

พอเขาบอกเขาเรียกขึ้นมา เครื่องพันธนาการก็หลุด ไอ้หอกดาบที่ติดตัวเขาก็หลุด ไฟที่ไหม้ท่วมตัวเขาก็ดับ พอขึ้นมาก็เป็นรูปเดิม ถ้าเราถามประวัติเดิม เขาจะบอกตามความเป็นจริงหมด มันมีเมืองโกหกอยู่เมืองเดียว คือเมืองมนุษย์ เมืองผีนี่ไม่มีการโกหก”

ผู้ถาม :- “หลวงพ่อคะ กาลเวลาของโลกทิพย์กับโลกมนุษย์ตรงกันไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “ตรงกันพอดี ของเรา ๑๐๐ ปี ตรงกับดาวดึงส์ ๑ วันพอดี ของเรา ๕๐ ปี ตรงกับจาตุมหาราช ๑ วันพอดี ของเรา ๒๐๐ ปี ตรงกับยามา ๑ วันพอดี แต่ว่าของเรา ๙ ล้านปี ตรงกับสัญชีพนรก ๑ วันพอดี ตรงกัน”

ผู้ถาม :- “หลวงพ่อครับ แล้วอย่างพวกอสูรนี่ เป็นพวกยักษ์หรือว่าเทวดาครับ…?”

หลวงพ่อ :- “อสูรเป็นเทวดาพวกหนึ่ง อสูรเขาแปลว่าไม่กล้า ยักษ์เขาแปลว่าบุคคลที่ควรบูชา ถ้าแปลอีกคำหนึ่งให้ตรงศัพท์ เขาแปลว่าเทวดา แต่เราไปตีความหมายเขาผิด ถ้ายักษ์ละก็รูปร่างน่ากลัว แต่ไอ้ยักษ์ที่น่ากลัวก็มียักษ์เดียว คือยักยอก ยักนี้มันไม่มีเขี้ยว มีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เผลอเมื่อไรเป็นเอาหมดเลย

คนที่จะเป็นอสูรได้เพราะทำบุญผสมโทสะ หมายความว่าเวลาจะทำบุญมีคนมาพูดนิดๆ หน่อยๆ มันเกิดโมโห พอจะรับศีลก็มีคนมาสะกิดแขนอีกแล้ว ก็โมโห ฉะนั้นหน้าก็ยุ่งไปนิด หน้าเขาสวยน้อยกว่าเทวดานิดเดียว และเขาก็มีวิมานเหมือนกัน

และอีกประการหนึ่งคำว่า กามาวจร ซึ่งแปลว่า อารมณ์ที่เที่ยวไปในความใคร่ คำว่าใคร่ตัวนี้ อย่านึกว่าเทวดาเขาใคร่เหมือนคนนะ ถ้าเทวดามีความใคร่เท่าคน เขาไม่เรียกเทวดา เขาเรียกว่าคน เทว แปลว่า ประเสริฐ

ทีนี้ ความใคร่ของผู้ประเสริฐนั้น หมายความถึงมีความเนื่องถึงกัน โดยมีความรู้สึกว่า คนนี้เป็นสามี คนนั้นเป็นภรรยา คนนี้เป็นลูก คนนั้นเป็นบริวาร ก็มีเท่านั้น ยังมีความห่วงใยกันอยู่ ในฐานะที่เคยมีความสัมพันธ์กันมา ก็ยังมีความกังวลเรื่องความประพฤติว่าเขาจะทำดีหรือทำชั่ว จะต้องพลัดลงไปในอบายภูมิหรือเปล่า

ฉะนั้นเทวดาพวกที่มีผัวเมียก็เหมือนกับคนที่รักษาอุโบสถ คนที่เขารักษาอุโบสถ เขาก็เว้นจากกามารมณ์เหมือนกัน เทวดาจึงไม่มีการเสพกาม

การเกิดของเทวดาถ้าจะเกิดเป็นลูก พอตายจากมนุษย์ปั๊บก็ไปเกิดบนตักของเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง ถ้าเป็นผู้ชายเขาเรียกว่าเทพบุตร ถ้าเป็นผู้หญิงเรียกว่าเทพธิดา เป็นหนุ่มสาวเท่านั้นจนกว่าจะจุติ

ถ้าหากว่าไปเกิดในที่นอนของใคร หมายถึงว่าเป็นคู่ครองขององค์นั้น บรรดาบริวารทั้งหลายเป็นพันเป็นหมื่นไม่มีการเลื่อนฐานะ ไม่มีการยกอันดับเหมือนเมืองมนุษย์นะ

ถ้าหากว่าจะเกิดเป็นบริวาร ถ้าเกิดในวิมานของใครตั้งแต่รั้ววิมานเข้าไป ก็เป็นขององค์นั้น แต่ถ้าเกิดกึ่งกลางจากวิมานไหนก็ตาม สี่หลังวัดไปเท่ากัน แต่ว่าหันหน้าไปวิมานไหน ก็เป็นบริวารของวิมานนั้นของเทวดาองค์นั้น

ทีนี้ ความรู้สึกของพรหม ซึ่งแปลว่าเป็นผู้ประเสริฐ ที่ไม่เรียกว่ากามาวจร ก็เพราะว่าความใคร่ไม่มี เพราะพรหมอยู่ผู้เดียว ขึ้นชื่อว่าสามี ภรรยา บุตรธิดาไม่มี คำว่าบริวารนั้นหมายถึงพวกพ้อง ต่างคนต่างอยู่วิมานคนละหลัง

ฉะนั้นอารมณ์เนื่องถึงกันในฐานะต่างๆ จึงไม่มีในพรหม พรหมเขาอยู่ด้วยอำนาจของธรรมปีติเฉยๆ คำว่าเฉย ๆ ถ้าท่านจะคุยกันก็คุยด้วยธรรมปีติ ดังนั้นพวกพรหมจึงมีอารมณ์สงบกว่าเทวดา ไม่มีกังวลอย่างเทวดา จิตเขาเลยเบากว่าเทวดา”

จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๓ หน้า ๒๑-๓๒ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

 
บันทึกการเข้า

ความรู้อยู่กับตัวกลัวอะไร
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.20 | SMF © 2006-2009, Simple Machines

Valid XHTML 1.0! Valid CSS! Dilber MC Theme by HarzeM
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.333 วินาที กับ 23 คำสั่ง